สถิติผู้เข้าชม
 ขณะนี้มีผู้เข้าใช้ 2
 ผู้เข้าชมในวันนี้ 22
 ผู้เข้าชมทั้งหมด 843,577
 เปิดเว็บ 26/06/2556
28 เมษายน 2567
อา จ. อ. พ. พฤ ศ. ส.
 
10  11  12  13 
14  15  16  17  18  19  20 
21  22  23  24  25  26  27 
28  29  30         
             
  บทสัมภาษณ์
ธุดงค์ภูทับเบิก2
[4 พฤศจิกายน 2556 18:04 น.]จำนวนผู้เข้าชม 3608 คน
 
ธุดงค์ดอยอินทนนท์ ธุดงค์ภูทับเบิก2
 
ธุดงค์ภูทับเบิก2
 
           เมื่อวันที่ 7 – 11 พฤษภาคม 52 ซึ่งตรงกับวันวิสาขะบูชา เรากะกันว่าจะไปเดินธุดงค์กันที่ภูทับเบิกเป็นครั้งที่ 2 เพื่อรำลึกถึงการเดินธุดงค์ครั้งก่อน เมื่อปีที่แล้ว แต่คราวนี้มีเหตุขัดข้องทางเทคนิคนิดหน่อย คือลูกหาบชุดเดิมที่ชำนาญทางไม่ว่าง เลยต้องหาลูกหาบชุดใหม่ ซึ่งใหม่เอี่ยมจริงๆ ไม่เคยเดินป่ามาก่อนเลย เราเลยต้องเปลี่ยนแผนเป็นเดินขึ้นเขานกอินทรีย์ที่อยู่ตรงข้ามสถานพุทธธรรม ผาซ่อนแก้วแทน

          งวดนี้มีผู้สมัครมา 24 คน พอมาถึง TOT แล้วเกิดเปลี่ยนใจไป 5 คน เพราะกลัวห้องสุขาหลายดาวของเรา และต้องอาบน้ำแบบอาบน้ำไก่ คือ พรมๆ พอให้หายเหนียวตัว ในทริปนี้เป็นคนใหม่เสีย 13 คน เป็นคนเก่าแค่ 6 คน คือ เพ็ชรพี่ เพ็ชรน้อง แอ๋ว กับ พา และกุ้งกับคุณปู่ นอกนั้นใหม่หมด ประกอบ 2 ผู้เฒ่า คือ ป้าจ๋าย และป้าทิพย์ ซึ่งอายุเกิน 60 แล้วทั้งคู่ และคู่เด็กคือ เจมส์กับเปิ้ล แต่เด็กที่สุดคือ ต้น อายุเพิ่ง 20 กว่าๆ นั้น เป็นสิงห์ยิ้มยาก แต่ทำงานและช่วยเหลือผู้อื่นอย่างดีเยี่ยม แล้วมีผู้น้ำหนักมากที่สุด คือ ตุ้ย หนักถึง 100 กก. แต่ทำกับข้าวเก่งที่สุด เล่นเอาแอ๋วและกุ้งได้อาย และชิดซ้ายไปเลย นอกจากนั้น ยังมีคู่เอ็นจอยเมาส์กัน ได้แก่ อ้วนกับเอี้ยง และผู้ที่เสียสละเป็นที่พักพิงของคนแก่ คือ คุณนพพรที่ดูแลป้าจ๋ายตลอดเวลา และคุณวินัยที่ประกบคุณปู่ตลอดทาง และมีผู้มาจากผาซ่อนแก้ว คือ ชัยและดอน นอกนั้นก็มี เทพ   ที่ฉายเดี่ยว

          เรามาพร้อมกันที่ TOT ของกุ้งเวลา 2 ทุ่ม เราใช้รถ 2 คัน เลยนั่งกันอย่างหลวมๆ คันละ 9 คน รวมเป็น 18 คน เพราะคุณวินัยไปจากด่านขุนทด นครราชสีมา ไปรออยู่ก่อนแล้ว เราออกเดินทางสองทุ่มกว่าๆ แล้วมาแวะที่ปั๊ม ปตท. ตรงหนองแค เพื่อทานข้าวเย็นกัน และแวะซื้อน้ำไปอีก 4โหล เพราะลืมขนมาจาก TOT 
 
          เรามาถึงผาซ่อนแก้ว ราวๆตี 4 กว่าๆ อาจารย์กะลา เลยต้องตื่นมาต้อนรับพวกเรา แล้วให้เข้าไปนั่งคุยกันในกุฏิ อาจารย์เล่าถึงประสบการณ์ที่ไปเดินที่ภูเขาหิมาลัยในเนปาล อาจารย์เล่าให้ฟังว่าที่ความสูง 2,000 เมตร ยังมีต้นไม้ ใบหญ้าขึ้นอยู่เต็ม สามารถเลี้ยงสัตว์ได้  สัตว์เลี้ยงที่นี่ได้แก่ ตัวจามรี ที่มีรูปร่างคล้ายวัว มีเขาแบบเดียวกัน แต่ขนยาวกว่า เพราะใช้ป้องกันความหนาว พวกชาวเนปาล จะเลี้ยงไว้ฝูงใหญ่ เอาไว้รีดนมมาทำเนย เอาเนื้อมาเป็นอาหาร และใช้เป็นสัตว์ต่าง สำหรับบรรทุกของเดินทางไปยังเมืองต่างๆ ไปเป็นคาราวาน ฉะนั้นเวลาสวนทางกับพวกนี้ต้องหลบให้ดี มิฉะนั้นจะร่วงตกเขาได้ แต่พอถึงความสูง 5,000 เมตร ไม่มีต้นไม้ใดๆสามารถขึ้นได้ มีแต่หิมะกับภูเขาหินหัวโล้น พวกที่ไป 10 กว่าคน มีคนหนึ่งเป็นโรคแพ้ความสูง AMS หรือ Altitude Mountain Sickness ต้องส่งกลับลงมาข้างล่าง แต่บริษัทประกันภัยเขาเอาเฮลิคอปเตอร์รับกลับลงมาเลย พอไปเดินธุดงค์ที่หิมาลัยแล้ว จะเห็นว่าการเดินธุดงค์ในเมืองไทยนั้น เป็นของเด็กๆไป

           เราทำธุระส่วนตัวกันเสร็จก็ออกไปทานข้าวกันที่ร้านครัวเจ๊ณี ช่วงที่รออาหารตามสั่ง สมาชิกทยอยกันไปซื้อรองเท้าบูท เพื่อใช้ปีนเขา ซึ่งจะ work มากเวลาฝนตก เพราะทางเดินลื่น แถมซื้อกล้วยน้ำว้า ขนมขบเคี้ยวต่างๆ มาสมทบอีกมากมาย เราให้ทางร้านทำข้าวกล่อง เพื่อเราจะได้ไปทานกลางวันกันกลางทางด้วย

           เราทานข้าวเสร็จก็วิ่งรถไปที่เชิงเขานกอินทรีย์ พบพระอาจารย์อำนาจ เพิ่งกลับมาจากกรุงเทพ เราเรียนท่านว่าจะไปธุดงค์กัน ท่านถามว่า ใครนำทาง เราตอบว่า อาจารย์กะลา แล้วท่านก็อวยพรให้พบสัจธรรมกันทุกคนๆ เราเดินผ่านไร่กะหล่ำปลีของชาวบ้าน เข้าไปในป่า ผ่านน้ำตกฉี่ช้าง ปรากฏว่าแห้งสนิท ไม่มีน้ำไหลเลย ผ่านน้ำตกฉี่มดก็แห้ง ผ่านน้ำตกฉี่แมวมีน้ำไหลหยดๆ ออกมาเล็กน้อย เราเดินเรื่อยๆ โดยไม่ได้แวะพักเลย สงสารแต่ตุ้ย ต้องแบกน้ำหนักตัวเองตั้ง 100 กก. ปีนเขาขึ้นไป ดีว่าฝนไม่ตก มิฉะนั้นคงลื่นน่าดูเลย

           เราผ่านดงเสาวรส และรัสเบอรี่ป่า เราช่วยกันเก็บมาชิมกันอย่างถ้วนหน้า งวดนี้ผลเสาวรส ค่อนข้างสุก จึงมีรสหวานไม่เปรี้ยวอย่างที่คิด แอ๋วชอบทานมาก เก็บไปกินไปอย่างเมามัน เรานั่งทานอาหารกลางวันกันที่นี่ด้วย เพราะ 11 โมงกว่าแล้ว อาจารย์กะลาจะได้ทานอาหารไม่เกินเที่ยง เราทานข้าวเสร็จก็เก็บสตอเบอรี่ ที่ถูก ต้องเรียก รัสเบอรี่ป่า กับลูกเอนอ้า มาลองชิมกันดู เป็นที่ติดใจกันมาก เพราะรัสเบอรี่หวานอร่อยถูกใจ เราออกเดินผ่านบ่อน้ำที่เรามาตักอาบกันคราวก่อน แต่คราวนี้น้ำน้อยมาก ไหลรินๆ เราเดินขึ้นถึงหลังเขา บนหัวนกอินทรีย์ โดยใช้เวลาทั้งหมดเพียง 3 ชม.เศษๆเท่านั้น ทุกครั้งที่ขึ้นมาบนนี้ จะถึงเกือบ 5 โมงเย็นทุกครั้ง นับว่าทำลายสถิติยับเยินอย่างคาดไม่ถึง เราขนอาหารไปที่ศาลาอาจารย์ปารมี แล้วออกมาหาทำเลกางเต็นท์กัน, สาวๆจองอยู่ใกล้ๆศาลา แต่ห่างกันอย่างน้อย 20 เมตร แอ๋วไปกางเสียไกล แต่เพ็ชรไกลกว่า ไปอยู่ชายป่าเชิงเขาใกล้บ่อน้ำ คุณนพพรกับตุ้ยย้ายจากริมผา มาอยู่ใกล้ๆคุณปู่ เพราะขู่ไว้ว่าระวังโดนลมหอบตกหน้าผาไป ถ้าไม่ย้ายคงได้เรื่องแน่ๆ เพราะคราวก่อน เต็นท์จอยลอยเกือบตกหน้าผา คุณวินัยไปกางเสียไกลลิบ แต่ของต้นไกลกว่า ไปอยู่ในดงต้นเอนอ้า น่ากลัวลมหอบไปจัง

           เรากางเต็นท์เสร็จก็มารวมกันฟังธรรม ที่ศาลาอาจารย์ปารมี อาจารย์กะลาบอกว่า ถ้าใครไม่เคยเดินป่าก็อาจจะรู้สึกผวาๆอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ เช่น ป้าจ๋าย ป้าทิพย์ คุณนพพร เคยเดินธุดงค์และเดินป่ามาก่อน เลยเข้าใจสภาพแวดล้อม ไม่ใคร่กลัวกันเท่าไร แต่อย่างตุ้ย, เจมส์, เปิ้ล, อ้วน คนใหม่ คงมีหวั่นๆในใจบ้าง เรามานั่งฟังอาจารย์กะลาบรรยายธรรม ท่านบอกว่า

           “เป็นธรรมดาของคนที่ไม่เคยนอนป่าช้า ขนหัวก็จะลุกซ่าทุกครั้งที่ได้ยินเสียงแกรก กราก คนที่ไม่เคยมาป่าก็อาจจะหวาดหวั่นบ้าง เราก็เจริญสติดูความกลัวมัน ไม่หายก็รู้ว่าไม่หาย เพราะมันยังไม่คุ้นชิน เหมือนกับพวกที่ไปเดินบนสันเขาที่ดอยช้างเผือก ที่แนวทางเดินกว้างกว่าฝ่ามือนิดหน่อย ทุกครั้งที่ย่างก้าว แม้จะมีสติ แต่ความกลัวก็ยังกลัวอยู่ เพราะรู้ว่าถ้าล่วงลงไป มันมีโอกาสตกลงไปได้เพียงครั้งเดียว แต่ปัจจุบันนี้หลายคนอาจจะคุ้นชินแล้วก็ได้ ใช่ไหมคุณปู่ ?”

           คุณปู่บอกว่า “ ยังไงๆ ก็ยังไม่คุ้น เพราะมันล่วงลงไป ก็มีแต่ตายเพียงลูกเดียวเท่านั้น”

           “เดินวันแรก อาจจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าบ้าง วันที่ 2 วันที่ 3 ก็คงเหนื่อย (เหมือนเดิม) วันที่4 วันที่ 5 ก็เหนื่อยอีก แต่เราจะเข้มแข็งขึ้น ไม่เป็นทุกข์, เหมือนกับนักมวยที่ต่อยกระสอบทราย วันแรกๆก็เจ็บ วันหลังๆก็คุ้นชิน หรือลงนวมซ้อมคู่ ยิ่งเจ็บใหญ่ เพราะเราไม่ได้ต่อยเขาข้างเดียวเหมือนกระสอบทราย เขาสวนเอาบ้าง เช่นเดียวกับการอกหัก ครั้งแรกก็เป็นทุกข์ ครั้งที่ 2 – 3 ก็คุ้นชิน มีภูมิคุ้มกัน ไม่คร่ำครวญ พิรี้ พิไร การพลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เช่นกัน เช่น พ่อ – แม่ จากไป ก็อาลัย อาวรณ์ ต่อมาก็จะวางใจได้ ทำใจได้ ก็คลายโศกไป ความร้อน – ความหนาว ก็เป็นวิถีของธรรมชาติ ต่อมาก็จะมีภูมิคุ้มกัน ความสุข  - ความทุกข์ ก็จะรู้สึกว่ามีค่าเท่ากัน ขณะนี้อากาศเย็นสบายแล้ว แต่ก็คงจะจำสภาวธรรมที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวันได้บ้าง เป็นสัญญาเล็กๆ ถ้าเรามีปฏิสัมพันธ์ กับความทุกข์เหล่านั้นเรื่อยๆ โดยไม่กล่าวโทษ หรือท้อแท้ เราก็จะเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ขอให้มีจิตตื่นรู้เท่านั้นเป็นพอ”

           “กลางคืนอย่างตอนนี้ ลมพัดเย็นสบาย มีเสียงสัตว์ เช่น จักจั่น เรไร ร้องก้องป่า ก็ให้คอยสังเกตรู้อย่าไปปิดหู ปิดตา อย่าไปเข้าภวังค์ ให้เข้าใจ สภาวะของธรรมชาติ ตามความเป็นจริง ไม่มีอะไรที่ใจเรารับไม่ได้ ไม่ว่าจะสุข หรือ สุก ทุกข์ หรือ ทุก ที่เราฆ่าตัวตาย ก็เพราะไป in – อม – จม – ลอย กับมัน ไม่ได้ศึกษาธรรม (ชาติ) เหมือนมีเรื่องเล่าในหนังโฆษณาบ้านเราว่า มีผู้รับเหมาก่อสร้างคนหนึ่ง สร้างบ้านขาย แต่พอเศรษฐกิจตกต่ำลง เกิดฟองสบู่แตก กลายเป็นต้มยำกุ้ง Crisis ทำให้ล้มละลาย กำลังจะคิดฆ่าตัวตาย แต่เหลือบไปเห็น เห็นลูกชายกำลังเล่นตัวต่อโลโก้อยู่ ต่อยังไม่ทันเสร็จเกิดล้มลงมาก่อน ลูกชายร้องว่า ล้มอีกแล้ว แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวตั้งใหม่ก็ได้ ทำให้พ่อได้สติ คิดได้ไม่ฆ่าตัวตาย เลยรอดตายมาตั้งตัวใหม่ และอย่างเช่นคราวนี้ เศรษฐกิจโลก กำลังพังลงมา ถ้าไม่ตั้งสติให้ดี มีหวังฆ่าตัวตายอย่างชาวอเมริกาผิวดำ ที่ตกงานทั้งผัว – เมีย, เลยฆ่าลูก ฆ่าเมีย, ฆ่าตัวเองตายไปเป็นข่าวเมื่อเร็วๆนี้”

           คืนนั้นเราเข้าเต็นท์นอนราวๆ 4 ทุ่มกว่า เนื่องจากเรามีประสบการณ์มาแล้ว เลยกางเต็นท์ห่างจากหน้าผาพอสมควร เพราะกลัวพายุหอบลงหน้าผาไป และกางเต็นท์ห่างกันพอสมควร คราวที่แล้วเล็กไปกางอยู่ชายป่า อาจารย์บอกว่าให้ระวังเสือ มันชอบมากินลูกวัว เล่นเอาเล็กผวาไปเหมือนกัน แต่คราวนี้ทุกคนค่อนข้างหนักแน่น ไม่หวั่นไหวไปตามคำขู่ของอาจารย์

           เช้านั้นเราตื่นกันตั้งแต่ตี 2 เอี้ยงมาเดินจงกรมอยู่คนเดียว ส่วนชัยตื่นในเวลาใกล้ๆกัน เดินชมจันทร์ วันวิสาขะ สว่างไสวไม่มีเมฆบัง คุณปู่ตื่นมาพร้อมๆชัย ก็ออกเดินชมจันทร์บ้าง อากาศหนาวกำลังดี, แล้วเดินไปดูดอน เห็นนอนหลับบนศาลาปารมีอย่างเป็นสุขสบาย

           สายๆวันนั้น เราถวายอาหารอาจารย์กะลา แล้วทานข้าวกันเสร็จ ก็ออกเดินไปปีกซ้ายของเขานกอินทรีย์ เราผ่านดงเสาวรส เลยเก็บกันใหญ่ ผ่านดงกล้วยและดงไม้เบ็ญจพรรณ, ไปถึงปลายปีกนก กินเวลาเพียง 3 ชม.เท่านั้น ทำลายสถิติเดิม อย่างย่อยยับ เพราะทุกครั้งมาถึงเอาเย็นๆ ค่ำๆ ทุกที เราทานอาหารกลางวันเสร็จก็หลบแดดเข้าไปอยู่ในดงกล้วย อาจารย์เล่าถึงประสบการณ์ที่ไปถูกจับที่ลาว ผู้คุมบังคับจะให้เหาะข้ามกำแพงคุกหนีไป อาจารย์บอกว่าไม่ได้ เพราะไม่ใช่เรื่องจำเป็น เดี๋ยวจะผิดศีลได้ ผู้คุมถามว่าทำอะไรได้บ้าง อาจารย์เลยเสกใบไม้ให้เป็นแบงค์ ผู้คุมถามว่าทำอะไรได้อีก อาจารย์เลยเสกสายฟ้าให้ผ่าลงมากลางวง เล่นเอาผู้คนกระเด็นกระดอนไปคนละทิศคนละทาง รวมทั้งผู้คุมด้วย ผู้คุมเลยหนีกลับบ้านไป เสร็จแล้วตอนหลังเขาส่งอาจารย์ไปที่เวียงจันทร์ ซึ่งที่นั่นสอบสวนแล้วปรากฏว่าไม่ใช่พวกจารชน เลยปล่อยไป

           เราเดินกลับจากปีกซ้ายของนกอินทรีย์ ใช้เวลาเดินแค่ 2 ชม.เท่านั้น!

           เย็นนั้นเราทานขนมปังกรอบกับกาแฟเป็นอาหารเย็น รู้สึกทุกคนชอบมากเพราะเป็นการ Diet ไปในตัว เล่นเอาตัวเบา น้ำหนักลดกันเป็นแถว รวมทั้งตุ้ย บอกว่ากว่าจะกลับคงลดลงไม่ต่ำกว่า 5 กก.แน่ๆ

           พอค่ำทุกคนมารวมกันที่ศาลาปารมี เอาตะเกียงไฟฉายมาจุดกัน สว่าง ไสว ทางด้านปีกขวามีคนขึ้นไปนอนค้าง เพราะเห็นแสงไฟฉายและเต็นท์กางอยู่ที่ปลายปีกพอดี

           คืนนั้นเรานั่งบ้าง นอนบ้าง ฟังธรรมจากอาจารย์กะลา กะกันว่าจะอยู่ถึงเช้าเลย

           แอ๋วถามอาจารย์ว่า “ถ้าจิตของเราชอบปรุงแต่ง ไม่มีสภาวะของจิตตื่นเลย จะทำอย่างไรดี”  

           อาจารย์บอกว่า “อาการของจิตตื่น มันมี แต่ตื่นแล้วไม่รู้ ส่วนเรื่องของการปรุงแต่ง ให้ตามดู ตามรู้ไป เพราะใจเปรียบเสมือนฟ้า จะไม่ให้มีเมฆ มีหมอก มีแสงจันทร์ผ่านเข้ามานั้น ไม่ได้ มันฝืนความเป็นจริงของธรรมชาติ”

           แอ๋วถามต่อไปว่า “ถ้ามันปรุงแต่ง เราควรจะตามไปดู ว่ามันปรุงแต่งเรื่องอะไร หรือตัดมันฉับไปเลยดี ?”

           อาจารย์ชี้แจงว่า “ถ้าปรุงแต่งก็ให้รู้ว่ากำลังปรุงแต่ง แต่อาจชำเลืองดูมันนิดนึงว่า เป็นสาระหรือไม่ ถ้าไม่เป็นสาระ จิตมันจะตื่นรู้ และตัดไปเอง แต่ถ้าเป็นเรื่องของงานที่ต้องทำและใช้ความคิดก็คิดได้ ต้องแยกให้ดี”

           แอ๋วถามต่อไปว่า “การปรุงแต่ง เห็นอาจารย์บางท่านบอกว่า ไม่ต้องตามรู้ ให้ดึงจิตมันกลับมาเลย อย่าปล่อยให้มันลอยไป ตามความคิด เพราะจะเผลอเพลิน แล้วก็เลยเผลอยาว ?

           อาจารย์บอกว่า “ตอนแรกๆอาจจะต้องช่วยดึงความคิดมันกลับมาก่อน เหมือนกับการผูกลิงไว้กับหลัก ปล่อยให้มันดิ้นไปได้ แต่สุดท้าย เมื่อมันดิ้นมากๆ เชือกก็จะพันหลักทำให้เชือกสั้นเข้า ทำให้มันทิ้งหลักไปไกลไม่ได้ ในที่สุดมันก็อยู่นิ่งๆ ก็เหมือนกับจิต ใหม่ๆอาจใช้คำภาวนา เช่น พุทโธ ช่วยกันเผลอ ถ้าเผลอมันก็จะกลับมาที่คำภาวนา พุทโธ พุทโธ ในที่สุดมันก็จะกดข่ม ความฟุ้งซ่าน รำคาญใจลงได้ เหมือนกับลิงที่ติดอยู่กับหลัก แม้มันจะเป็นสมถะกรรมฐาน แต่มันเป็นของคู่กันกับวิปัสสนากรรมฐาน”

           “วิปัสสนากรรมฐาน ของอาจารย์ คือการตื่นรู้ของใจ หรือจิต ไม่ใช่หลับตาภาวนาแล้วไม่รู้อะไรเลย มันก็จะกลายเป็นสมาธิหัวตอไป แต่ถ้าเราเจริญสมถะกรรมฐานด้วยจิตตื่น มันก็จะเป็นสัมมาสมาธิและจะระงับนิวรณ์ ทั้ง 5 ได้ คือ กามฉันทะ, พยาบาท, ความง่วงเหงาหาวนอน, ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ, หรือ ความลังเลสงสัยในการปฏิบัติเป็นต้น”

           “เหมือนกับโต๊ะนี้ เดิมทีมันก็ว่างๆ เราก็เอาแก้วมาวาง เอากาแฟบ้าง โอวัลตินบ้าง มาใส่ลงไป ค่อยๆทำทีละอย่างๆ เหมือนกับฟ้า เดิมมันก็ว่าง พอเมฆผ่านมา เราก็เข้าไป ทำความรู้จักมันไว้ ว่ามันเป็นเมฆขาว หรือเมฆดำ เหมือนกับใจที่ไปสัมผัสกุศล และอกุศล แต่ข้อสำคัญเราต้องเรียนรู้ก่อนว่า อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล; กุศลคือ สิ่งที่ทำให้เราเบากาย, เบาใจ, ถ้ามันเป็นอกุศล มันก็จะหนักๆ ด้วยกิเลศ คือ โลภะ, โทสะ, โมหะแต่ถ้าเรามีสติรู้เท่าทัน กิเลศเหล่านั้นก็จะถูกทำลายไป เหมือนกับเราขว้างมันทิ้งไปห่างๆ เปรียบเหมือนกับมีขี้หมาในมือ,แล้วเราขว้างขี้หมาทิ้งไป มันก็หายเหม็น แต่ถ้าเราไม่เจริญสติ โดยมีจิตตื่นรู้เท่าทันสภาวะธรรม เอาแต่ทำสมาธิ มันก็อาจจะกดข่มกิเลศได้บ้าง แต่มันเหมือนเอาศิลาไปทับหญ้า เมื่อเอาออกมันโดนแดด, โดนฝน, หญ้ามันก็จะบานสะพรั่ง เหมือนเดิมได้”

           เรานั่งฟังธรรมกันจน 4 ทุ่มกว่าๆ เกือบ 5 ทุ่ม จึงได้แยกย้ายกันไปนอน แต่พอหลับไป 3 ชม. ตี 2 เราก็ตื่น วันนี้ไม่มีแสงจันทร์ แต่มีหมอกหนาทึบ เราออกมาเดินจงกรม ท่ามกลางหมอกอันขาว ที่เคลื่อนตัวไปช้าๆ จนสว่าง ซึ่งเอี้ยงชอบหมอกหนาแบบนี้มากๆเลย

           เราเดินมาที่ศาลาปารมี แล้วช่วยกันทำกับข้าว ได้ตุ้ยเป็นพ่อครัว ทอดไข่ลอยฟ้า, ผัดคะน้าไฟแดง, แกงจืดอร่อยเหาะ, สมกับจบการโรงแรมมา เรากินข้าวกันอย่างอ้อยอิ่ง เพราะวันนี้เราจะได้เดินไปทางปีกขวา ที่คุณปู่ยังไม่เคยไป แต่รู้สึกว่าไม่ไกล มองเห็นอยู่แค่เอื้อมเท่านั้นเอง

           เราทานข้าวเสร็จ ก็ออกเดินมุ่งหน้าไปทางปีกขวาของเขานกอินทรีย์ เราผ่านดงเสาวรส, รัสเบอรี่, เข้าไปในป่าดงดิบ ซึ่งมีทากอยู่ชุกชุม กระโดดเกาะอ้วน เธอร้องเสียป่าแทบแตก ไม่แพ้แจ๋วแหวว คือพี่ที่มาเดินธุดงค์ภูทับเบิกคราวก่อน ถือว่าเป็นตัวแทนในการเดินธุดงค์ภูทับเบิกของคราวนี้ได้เลย, แถมต้นจับกิ้งกือส่งให้อ้วน เธอก็ร้องเสียงหลงอีก เล่นเอา นก, หนู, สัตว์ป่า ทั้งหลายได้ยินเสียงเธอ ต่างก็หดหัวกันไปหมดเลย

           เราเดินขึ้นมาถึงลานหญ้าบนปีกขวาของนกอินทรีย์ มีชาวเขาเอาวัวขึ้นมาเลี้ยงเต็มไปหมดเลย มันยืนเข้าแถวหันหน้ามองมาทางเรา เป็นตาเดียว เสียวๆว่ามันจะวิ่งเข้ามาชาร์จเข้า, เราเลยรีบเดินผ่านมันไปที่ปลายปีก ปรากฏว่า นักท่องเที่ยวที่เห็นเมื่อคืนก่อน กลับไปหมดแล้ว เพราะด้านนี้รถ 4 วิลล์ สามารถขึ้นมาถึงปลายปีกได้เลย เรานั่งกินข้าวแล้วหามุมถ่ายภาพสวยๆกัน จนพอแล้วก็ออกเดินกลับ แต่ขากลับไม่ได้กลับทางเดิม เพราะมันชิว – ชิว ไป เราเดินเลียบหน้าผา แล้วค่อยๆไต่ลงมาทางหน้าผา ซึ่งมีความชันราวๆ 90 ° แถมฝนตก ลื่นก็ลื่น แล้วยังไม่มีที่เกาะอีก ต้องเอาเชือกผูกต้นไม้ แล้วเกาะลงมา แถมเชือกสั้นอีกเลยหมดท่า, ตุ้ยเล่นไถลลงมาเลย ป้าจ๋ายมีคุณนพพรประกบ, คุณปู่มีคุณวินัยช่วยประคองจนลงมาได้

           เราเดินกลับมาถึงบ่อน้ำบนเขาหัวนก เราแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มกษัตรี และกษัตตรา ไปอาบน้ำเหนือน้ำ, พวกแพศ มาอาบกลางน้ำ, คุณปู่, คุณวินัย, เพ็ชร มาอยู่ปลายน้ำ ตามวรรณะจัณทาล แต่น้ำก็ใสดี เพราะเวลาไหลมันผ่านลอดใต้โขดหิน ทำให้เป็นการกรองน้ำไปในตัว เราอาบน้ำ ซักเสื้อผ้า ล้างรองเท้า เสร็จแล้วก็เดินกลับที่พัก ปรากฏว่าเต็นท์ของเพ็ชรโดนลมหอบมาทิ้งไว้ข้างบ่อน้ำ ของต้นและอ้วนเต็นท์หัก อ้วนต้องย้ายมานอนกับเอี้ยง, ต้นต้องย้ายไปนอนกับดอนที่ศาลาปารมี ส่วนคุณวินัยเต็นท์ที่หักพอซ่อมได้ เลยอาศัยนอนเป็นคืนสุดท้าย คุณปู่คงต้องส่งซ่อมทั้งหมด เพราะเอาไม้ดามไว้ แต่ไม่อยู่

           คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่จะนอนบนเขาหัวนกอินทรีย์ เราเลยปูผ้าใบไว้ข้างศาลา นอนฟังอาจารย์บรรยายธรรม กะว่าจะนอนให้หลับไปกับธรรมะ และตื่นเช้ามากับธรรมะ (ถ้าอาจารย์บรรยายตลอดคืน)

           คืนนี้อาจารย์พูดถึงเรื่องอุปทานว่า “การว่างจากอุปทาน คือการว่างจากการยึดมั่นถือมั่น การปฏิบัติธรรม คือ การตื่นเบิกบาน ตื่นจากอุปทาน จิตเราไม่เคยว่างจากอุปทาน ฉะนั้น ถ้ามีอุปทานเกิดขึ้น ก็เพียงแค่ “รู้”; รู้อะไร ? ก็รู้สภาวธรรมที่จรเข้ามา ไม่ต้องไปรักษาจิตมันไว้ให้ว่าง เพราะถ้าเราหลงไปรักษามันไว้ มันก็จะเหมือนกับการก่อกำแพงกั้นดิน – น้ำ – ลม – ไฟ ไว้ไม่ให้ไหลผ่านใจเรา ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้”

           “เราลองมาพิจารณาถึง ธรรมคู่ ดูบ้าง”

           “ขันธ์ 5 คือ อะไร, ขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ตราบใดเรายังมีขันธ์ เราก็ยังมีทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย มนุษย์ เทวดา ทั้ง 6 ชั้น หรือ แม้แต่พรหม ก็ไม่เว้นแม้แต่ พรหมลูกฟัก คือ พรหมที่มีแต่รูป หรือพรหมขั้นสูงสุดที่มีแต่นามก็ตาม คือก็ยังต้องกลับมาเกิดอีก และตราบใดที่ต้องเกิด ก็จะมีแก่ เจ็บ ตาย  กลายเป็นทุกข์อีก ซึ่งล้วนแล้วมีแต่เป็นทุกข์! ทำอย่างไรจะให้พ้นทุกข์ได้? ก็ต้องรู้ก่อนว่าทุกข์เกิดเพราะอะไร? เกิดเพราะเรามีอุปทานในขันธ์ 5 หรือ กาย – ใจ ว่าเป็นเรา เป็นของเรา ทำให้รู้สึกว่าขันธ์นี้ปล่อยก็ไม่ได้ วางก็ไม่ลง มันก็อีหลัก อีเหลื่อ ทำให้เกิดการเวียน ว่าย ตาย เกิด อยู่ในวัฏสงสารนี้เรื่อยไป, ทำอย่างไรจะไม่เกิด ? ก็ต้องเข้านิพพาน หรือถึงซึ่งนิโรธะ ซึ่งก็คือ สภาวะ ของจิตที่ปราศจากสักกายะทิฏฐิ เห็นว่า กายนี้ – ใจนี้ไม่ใช่เรา, ปล่อยวางเสีย, คลายจากกิเลศ และตัณหา คือ ความทยานอยากเสีย, ซึ่งก็จะทำให้ถึงซึ่ง ความเป็นกลางของจิต, ที่ท่านพุทธทาสเรียกว่า จิตว่าง นั่นเอง แต่ไม่ใช่ว่างเป็นสูญ แต่ว่างอย่างเป็นกลาง ก็จะเกิดความเป็นหนึ่งเดียวของจิต หมดจากธรรมคู่ไป”

           เราฟังธรรมกันจน 5 ทุ่มกว่า รู้สึกง่วงจนทนไม่ไหวกันเป็นแถวๆ เลยแอบหนีไปนอนกันทีละคนสองคน

           ตอนเช้าหมอกหนาเหมือนเมื่อเช้าวาน เราเลยมาล้อมวงกันที่ลานหญ้า หน้าเต็นท์ของพวงเพ็ชร และป้าจ๋าย แล้วสนทนาธรรมกันต่อจากเมื่อคืน

           อาจารย์กล่าวว่า “เมื่อคืนเราคุยกันถึงเรื่อง ทุกข์ ต้นเหตุของทุกข์และการพ้นทุกข์ หรือนิพพาน แต่ยังไม่ได้พูดถึงแนวทางแห่งการดับทุกข์”


           “เราย้อนมาถึงความทุกข์ ความทุกข์ คืออะไร ? คือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสิ่งแรกที่ควรรู้”

           “ความสุข คือ อะไร?” 

ความสุข ได้แก่
  • การมีลาภ
  • การมียศ
  • การได้รับคำสรรเสริญเยินยอ
  • การได้รับในสิ่งที่เราต้องการ
​ธรรมคู่ ของ ความสุข คือ ความทุกข์ ได้แก่
  • ความเสื่อมลาภ
  • ความเสื่อมยศ
  • การถูกนินทา
  • ความไม่สมหวังในชีวิต
​คนเราส่วนใหญ่ ชอบความสุข – เกลียดความทุกข์ ถามว่า ความสุข – ความทุกข์ พวกนี้เกิดขึ้นที่ไหน ?
           เกิดขึ้นที่ กาย กับใจ หรือ ขันธ์ 5 นั่นเอง หรือกล่าวอีกอย่างว่า
                 ความทุกข์ คือ อุปาทานขันธ์ 5 คือการคิดว่า กาย – ใจ เป็นตัวเรา ของเรา หรือ
                 ความทุกข์ คือ การติดอยู่กับความยึดมั่นต่างๆ แม้แต่ยึดความว่างของจิต โดยคิดว่าไม่ยึดอะไร แล้วก็ไปยึดความไม่มีอะไรนั้นไว้อีก ก็เป็นทุกข์ ซึ่งจะทำให้เข้าถึงซึ่งความสิ้นกิเลศ คือ เกิดความเป็นกลาง หรือเกิดความสิ้นทุกข์ไม่ได้ ก็ทำให้ยังไม่ถึงนิพพานได้

           อะไรคือสาเหตุของทุกข์ หรือ นิโรธะ คือ อะไร คือความไม่อยาก, ไม่ยึด, เมื่อไม่ยึดแล้วก็จะไม่ทุกข์ แม้กำลังเจ็บป่วย และกำลังจะตายก็ตาม 

           วิธีปฏิบัติไม่ให้ทุกข์ มี 8 ทาง คือ 

1. ดำริชอบ คือ
  • ดำริออกจากกาม
  • ดำริที่จะไม่เบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น เช่นไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์

2. เจรจาชอบ  เช่น
  • ไม่พูดเพ้อเจ้อ
  •  
3. ทำการงานชอบ เช่น
  • ไม่ทำอะไรที่จะให้ตนเองและคนอื่นเดือดร้อน

4. เลี้ยงชีพชอบ ได้แก่
  • ไม่เลี้ยงสัตว์ให้เขาเอาไปฆ่า
  • ไม่ขายยาพิษ, ยาเสพติด, เหล้า, บุหรี่
  • ไม่ขายมนุษย์, ไม่ขายอาวุธ ฯลฯ

5. ความเพียรชอบ
  • เพียรทำความดี
  • แล้วเพียรทำดีให้ยิ่งๆขึ้นไปอีก
  • เพียรละความชั่วที่มีอยู่แล้ว และ
  • เพียรละความชั่วที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้น

6. ระลึกชอบ คือ มีสัมมาสติ สัมมาสัมปชัญญะ, รู้กาย - รู้ใจ

7. จิตตั้งมั่นชอบ คือ มีสัมมาสติ คือ รู้เนื้อ รู้ตัวในขณะที่จิตเป็นสมาธิ ไม่ in – อม – จม – ลอย ไปกับสิ่งที่มากระทบ หรือไปเพ่ง หรือเผลอ อย่างใด อย่างหนึ่ง

8. มีความเห็นที่ถูกต้องคือ มีสัมมาทิฐิ ได้แก่
  • เห็นทุกข์ หรือ ต้องรู้ทุกข์
  • เห็นเหตุของทุกข์ คือ สมุหทัย, ต้องละ
  • เห็นนิโรธ ต้องทำให้แจ้ง
  • เห็นทางปฏิบัติ ถึงซึ่งความดับทุกข์ คือ มรรคต้องเจริญ”
​           เราคุยกันจบก็กลับมาที่ศาลาปารมี มาหาข้าวทานกัน ตุ้ยแสดงฝีมืออันยอดเยี่ยมเหมือนเดิม เราทานข้าวเสร็จก็ช่วยกันเก็บเต็นท์ เก็บของให้ลูกหาบขนไปขึ้นรถผู้ใหญ่ ที่ขับขึ้นมาขนของ เพื่อจะได้ขนสัมภาระลงไป ส่วนพวกเราก็เดินลง 

           งวดนี้เราเดินลงคนละทางกับที่เคยขึ้นมา ขาลงงวดนี้ ทางค่อนข้างชันมาก ต้องค่อยๆก้าว พอลงมาถึงทางแยกเข้าถ้ำตานก เราต้องเดินย้อนขึ้นไปอีก ร่วมกิโล จึงถึงถ้ำ ทุกคนปีนบันไดขึ้นไปบนถ้ำ ยกเว้นคุณปู่และป้าจ๋าย เพราะกลัวความสูง เห็นเพ็ชรเล่าว่า อาจารย์เล่าให้ฟังถึงตอนปฏิบัติธรรม เพราะไปเห็นเพื่อนโดนรถชนตาย เลยกลัวตาย กับได้ยินหมอลำซิ่งแหล่ ถึงพระเตมีย์ไบ้ เลยอยากเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง โดยไม่พูดกับใคร เลยโดนส่งไปโรงพยาบาลบ้า โดน Treat เสียเกือบตาย

           ขากลับเราเดินจากถ้ำตานก ลงมาเรื่อยๆไม่รีบร้อน ผ่านน้ำตกฉี่มด ซึ่งก็กลายเป็นน้ำตกฉี่แมว น้ำตกฉี่แมวก็กลายเป็นน้ำตกฉี่หมา ซึ่งมีน้ำไหลรินๆลงมา, ผ่านซอกหิน เราเอาขวดไปรองน้ำมาดื่มกันอย่างชุ่มชื่น บางคนลงทุนถอดเสื้ออาบให้ชุ่มกันไปเลย แต่พอผ่านน้ำตกฉี่ช้าง น้ำกลับไม่ค่อยมี เราเดินทะลุมาที่ไร่กะหล่ำปลีของชาวเขา แล้วเดินเข้าไปที่ร้านค้าของผู้ใหญ่ เพื่อไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน เราอาบน้ำให้สมกับที่ไม่ได้อาบมา 5 วันเต็ม เล่นเอารู้สึกสดชื่น สะอาดสะอ้าน หายรังเกียจตัวเองไปบ้าง แล้วเราก็มารวมกันที่หน้าสถานพุทธธรรมผาซ่อนแก้ว เพื่อนำปัจจัยไปถวายพระอาจารย์ปารมี และนำคริสตัลสำหรับประดับเจดีย์ไปถวายพระอาจารย์อำนาจ ชัยโทรขึ้นไปถามหาพระอาจารย์ปารมี ปรากฏว่าไปเยี่ยมพระอาจารย์สมจิต ที่เพชรบูรณ์ พระอาจารย์อำนาจอยู่ แต่เราไม่อยากรบกวนท่าน แต่วันนั้นน้องสาวพระอาจารย์ปารมี ซึ่งเป็นอาสาสมัครอยู่ที่นี่ เพิ่งกลับมาจากกรุงเทพ เราเลยฝากปัจจัยที่รวบรวมได้ 28,000 บาท และเครื่องเพ็ชรกับลูกปัดอีก 2 กล่องใหญ่ๆ ไว้ให้สถาปนิกที่นี่ได้ใช้ตกแต่งเจดีย์ต่อไป

           เราวิ่งรถออกมาที่ครัวเขาค้อ เราแยกวงออกเป็น 2 โต๊ะ โต๊ะหนึ่งทานอาหารมังสวิรัติ อีกโต๊ะทานอาหารธรรมดา เช่น ส้มตำ, ปลาทอด, ต้มยำปลา ล้วนแต่เป็นอาหารแซบๆ น่าอร่อยทั้งนั้น อาจารย์กะลาจึงปรารภว่า

           “การได้กินของอร่อยๆ นับเป็นความสุขอย่างหนึ่ง เหมือนกับการได้ดูหนัง ฟังเพลง ท่องเที่ยว ผจญภัย ได้รับความสุขทางเพศรส การมีทรัพย์สมบัติ มีอำนาจ วาสนา ที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ”

           “อาหารรสจัดให้ความสุขกับเรา เนื่องจาก มันเร้าจิต และกระตุ้นสัมผัสที่ปลายลิ้น เนื่องจาก รสเปรี้ยว, หวาน, มัน, เค็ม, เผ็ด ซึ่งตรงกันข้ามกับอาหารรสจืดๆ หรือเหมือนกับ เพลงจังหวะเร็วๆ ขึ้นๆลงๆ ก็จะเร้าอารมณ์เราได้มากว่าเพลงที่มีจังหวะๆเดียว ที่เรื่อยๆ เฉื่อยๆ, หนังก็ต้องตื่นเต้น หรือโศกสลด หรือสยดสยอง จะทำให้เกิดอารมณ์ได้หลากหลาย ซึ่งถ้าไม่บู๊ล้างผลาญ, ฆ่าฟัน, หรือวาบหวิว ก็ไม่ชวนสนุก”

           “ความสุขทางเพศรส ก็ต้องการการกระตุ้นเร้าทั้งกาย ทั้งใจ, การผจญภัยก็ต้องตื่นเต้น ซึ่งบอกไม่ได้ว่ามันทำให้เกิดความสุขได้อย่างไร นอกจากความมันในอารมณ์, การดูกีฬาก็เช่นกัน ต้องถือหางฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง เพื่อได้ลุ้น เหมือนกับการเล่นการพนัน ซึ่งจะต้องได้ลุ้น ถ้าฝ่ายเราชนะ ก็พาให้เป็นสุขใจ แต่ถ้าแพ้ก็เสียดาย อยากแก้ตัวใหม่ ฉะนั้นการไม่เล่นการพนันเสียได้ ก็จะเป็นการตัดกรรมอย่างหนึ่ง เพราะชนะก็อยากได้อีก เสียก็อยากแก้ตัวใหม่ เหมือนกับการไม่แต่งงาน ถ้าไม่แต่งเสียได้ก็จะเป็นการตัดกรรม เพราะทำให้ไม่เกิดความผูกพัน หรือถ้าแต่งแล้วไม่มีลูก ก็เป็นการตัดกรรมอย่างหนึ่งเช่นกัน เพราะทำให้ไม่เกิด - ภพ, เกิด - ชาติ คือ ตัดความเกิดเสียได้ ก็จะไม่มีทุกข์ คือ ตัดความแก่, ความเจ็บ และความตายไป เพราะถ้าทำให้เด็กเกิดมา 1 คน เท่ากับทำให้เกิดก้อนทุกข์ ขึ้นมา 1 ก้อน นับวันก้อนทุกข์ ก็จะโตขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้น  เพ็ชรพี่, เพ็ชรน้อง,ต้น อย่ามีแฟนนะ! หรือการเลี้ยงหมา เลี้ยงแมว ก็เกิดความผูกพัน เผลอๆ ตายไปอาจต้องไปเกิดเป็นหมา เป็นแมว ฉะนั้นถ้าจะตัดกรรม ก็อย่าเลี้ยงสัตว์”

           “อาหารนั้นให้ความอร่อย และเกิดสุข เฉพาะมื้อแรกๆเท่านั้น เพลงไพเราะก็ต่อเมื่อฟังใหม่ๆ หนังตื่นเต้นเร้าใจ ก็ต่อเมื่อดูเที่ยวแรก คนส่วนใหญ่หาคู่ใหม่ เพราะเบื่อคู่เก่า อะไรก็ตาม เมื่อเกิดความซ้ำๆ ซากๆ จำเจ ก็จะเบื่อได้ เพราะฉะนั้น ความสุขแบบนี้ จึงต้องการ การเร้าจิต - เร้าใจ เพื่อให้เกิดรสชาติแปลกใหม่อยู่เสมอ และนอกจากนี้ยังต้องการเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ เช่น การติดเหล้า ติดบุหรี่ ติดยาเสพติด ต้องเสพเพิ่มขึ้นทุกทีๆ ไม่เช่นนั้นร่างกายมันจะด้านชา ผู้ที่พึ่งความสุขชนิดนี้จึงย่อมต้องหาเงินมาซื้อสิ่งเสพติดเหล่านั้น, แม้แต่การช็อปปิ้ง เคยมีคนไปถาม
อเมริกันชนว่า

            ‘เงินจำนวนเท่าใด จึงจะทำให้ท่านเป็นสุขได้ ?’
            ร้อยทั้งร้อยบอกว่า ต้องมีมากกว่าที่มีอยู่ขณะนี้ ถ้าถามคนไทย ก็คงตอบเช่นเดียวกันและมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 80 % ของจำนวนคนไทยทั้งหมดด้วย

            ฉะนั้นจะเห็นว่า แม้มีเงินมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า มีความสุขมากขึ้น เพราะใจมันไม่พอ!!”
           “เงินมีเท่าไร ก็ไม่ได้หมายความว่า จะเป็นปฏิภาคทางตรงกับความสุข พวกเราคิดว่าการหาเงินนั้นจึงเป็นเรื่องใหญ่ ! มีความหมายกับชีวิต ! แต่แท้ที่จริงแล้วยังมีสิ่งอื่น ที่สำคัญกว่า เช่น สุขภาพ เพราะมีเงินก็ซื้อไม่ได้ แถมไม่มีไว้ขายด้วย ถ้าอยากได้ต้องทำเอาเอง สัมพันธภาพในครอบครัว ต้องอย่าให้เงินมาบงการชีวิตนะ! ความสงบทางใจ! การมีสติสัมปชัญญะ รู้กาย – ใจ เพื่อความพ้นทุกข์ ! การแสวงหาความสุข ด้วยเงิน บางทีเราก็ต้องลงมือกระทำอะไรที่ร้ายแรงได้ เช่น ค้ายาเสพติด ฉะนั้นความสุขที่เป็นทาสของสิ่งเสพติด และเงินทองเป็นสิ่งที่ ทำให้เราต้องเหนื่อย, เมื่อย, ล้า, เพื่อให้ได้สิ่งเหล่านั้นมา แล้วยังต้องรักษาไว้”

           “ความสุขแบบนี้มีโทษมากกว่ามีคุณ ตรงกันข้ามกับ ความสงบ คือ สงบจากกิเลศ, ตัณหา, ความทยานอยาก อย่างแรงกล้าทั้งหลาย พระพุทธเจ้าเคยกล่าวไว้ว่า ความสุขอื่นใด ไม่มีเทียบได้กับความสงบ เพราะจิตที่สงบไม่ต้องการสิ่งเร้า จากการเสาะหา, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเจริญสติ จะช่วยให้จิตสงบลงได้ แม้แต่จะอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายของสังคม เพียงแต่ มีสติตามดู ตามรู้ ไม่เข้าไปแทรกแซง ไม่เข้าไปปรุงแต่ง จิตที่มีสติจะเป็นเครื่องป้องกัน สิ่งรบกวนของจิตได้ ทำให้ตั้งมั่นแล้วเกิดเป็นสมาธิ ที่เป็น สัมมาสมาธิได้ด้วย”

           “สติ และปัญญา สามารถรักษาจิต ให้สงบไม่ว่าอยู่ที่ใด ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จ หรือพบกับความล้มเหลว จึงทำให้เกิดสุขโดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งเร้าภายนอก เป็นความสุขที่ไม่ต้องดิ้นรน ไล่ล่าหาความฝัน ทำให้เป็นอิสระ นี่คือความสุขที่สัมผัสได้ ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ความสุขชนิดนี้ไม่ไกลเกินเอื้อม มีอยู่ในทุกขณะจิต ที่เราสามารถพบ และสร้างขึ้นมาเองได้ !”

           เรากินข้าวเสร็จ ก็กลับมาที่ กุฏิอาจารย์แล้วถวายปัจจัยไป 25,000 บาท เพื่ออาจารย์จะได้เอาไปทำบุญต่อ แล้วเราก็ร่ำลาอาจารย์ และคุณวินัย ซึ่งต้องเดินทางกลับด่านขุนทด นครราชสีมา เราเลยแยกกันตรงนี้ เรานั่งรถออกมาทางบายพาส โดยไม่เข้าเพชรบูรณ์ แต่ผ่านสามแยกวังชมภู หนองไผ่ บึงสามพัน วิเชียรบุรี , ศรีเทพ, ชัยบาดาล, สระบุรี ถึง TOT ของคุณกุ้ง 2 ยามกว่าๆ ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน นัดกัน Trip หน้าเจอกันที่ ทุ่งแสลงหลวง ซึ่งคงไม่โหดเหมือนคราวนี้ เพราะอาจารย์บอกว่าจะพาไปทางราบ ไม่ได้ปีนหน้าผาอย่างคราวนี้

 

ธรรมสวัสดี
คุณปู่


 
 
บทสัมภาษณ์
- สัมภาษณ์ผู้ปฏิบัติธรรม [4 พฤศจิกายน 2556 18:04 น.]
- สัมภาษณ์นักเรียนรับทุน [4 พฤศจิกายน 2556 18:04 น.]
- ธุดงค์ภูทับเบิก2 [4 พฤศจิกายน 2556 18:04 น.]
- ธุดงค์ดอยอินทนนท์ [4 พฤศจิกายน 2556 18:04 น.]
- ธุดงค์เขาช้างเผือก [4 พฤศจิกายน 2556 18:04 น.]
- สัมภาษณ์ผู้ป่วยโรคเอดส์ [4 พฤศจิกายน 2556 18:04 น.]
- สัมภาษณ์ผู้ป่วยโรคไต [4 พฤศจิกายน 2556 18:04 น.]
ดูทั้งหมด

Copyright by thaigoodwill.org